ฟิลเลอร์ หรือ Filler คือสารเติมเต็มที่ใช้ในการแพทย์เพื่อเติมเต็มร่องริ้วรอยและเพิ่มปริมาณให้กับผิวหนังหรือโครงสร้างใบหน้า โดยทั่วไปจะใช้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย
ซึ่งเป็นวิธีการปรับรูปหน้าให้สวยงามโดยไม่ต้องผ่าตัด หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยให้ผิวหน้าดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและชะลอการเกิดริ้วรอยได้ และช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดอีกด้วย
Table of Contents
ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ เป็นสารเติมเต็มประเภทรักษาความงามโดยใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ บนใบหน้า และปรับรูปหน้าให้สวยงาน แต่อยู่ได้นานช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น
-
- แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา รอยยิ้ม
- เพิ่มปริมาตรของใบหน้า
- ปรับรูปหน้าให้สมส่วน
- เติมเต็มรอยแผลเป็น
ซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ สารไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มประเภทที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายอยู่แล้ว จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ สามารถฉีดในจุดไหนได้บ้าง ?
ฟิลเลอร์ (Filler) สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข จุดที่นิยมได้แก่
- ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟู เต่งตึง
- ใต้ตา ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ลดรอยคล้ำ ทำให้ตาดูสดใส
- ริมฝีปาก ช่วยเพิ่มปริมาตร ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม
- คาง ช่วยเพิ่มความโด่ง ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ
- ขมับ ช่วยเติมเต็ม ทำให้ใบหน้าดูเต็มอิ่ม
- หน้าผาก ช่วยเติมเต็มรอยย่น ทำให้หน้าผากเรียบเนียน
- จมูก ช่วยเสริมสันจมูก ทำให้จมูกดูโด่ง
- รอยแผลเป็น ช่วยเติมเต็มรอยแผลเป็น ทำให้รอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น
- มือ ช่วยเติมเต็ม ทำให้มือดูอวบอิ่ม
- หลังมือ ช่วยเติมเต็ม ทำให้หลังมือดูเรียบเนียน
ฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียง หรืออันตรายไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ให้สวยและปลอดภัย เรามีหลัก 3 อย่างให้พิจารณาดังนี้ครับ
- ผู้ที่ทำการ ฉีดฟิลเลอร์ จะต้องเป็นแพทย์เท่านั้น อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงกับหมอกระเป๋า เกิดอะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มครับ โดยแพทย์จะต้องมีความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ เป็นอย่างดี เพราะใบหน้าเรามีเส้นเลือดเส้นประสาทต่างๆบนใบหน้ามากมาย อีกทั้งกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ไขมันชั้นลึกชั้นตื้น จุดไหนที่ปลอดภัย จุดไหนที่อันตราย จุดไหนต้องวางฟิลเลอร์ลึกหรือตื้น รวมถึงแพทย์ผู้ทำการฉีดจะต้องมีความรู้เลือกชนิดของฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับปัญหาและบริเวณที่ฉีดด้วย เพราะวางผิดตำแหน่ง ผิดชั้นผิว หรือเลือกชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม ก็สามารถทำให้ผลลัพธ์ออกมาต่างกัน หรือฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนเป็นลำไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งกรณีแบบนี้มีมาให้แก้ไขเยอะ ดังนั้นเราต้องพิจารณาศึกษาดูดีๆ นะครับ
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องเป็น ฟิลเลอร์ แท้ผ่าน อย. ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ โดยโทรไปที่บริษัทฟิลเลอร์นั้นๆได้เลย ว่าคลินิกที่จะไปฉีดได้สั่งฟิลเลอร์แท้จะบริษัทโดยตรงหรือไม่
(หากไม่แน่ใจ กลัวคลินิกนั้นๆสั่งของจริงมาใช้ผสมกับของปลอม ซึ่งมีอยู่จริงนะคะ คือมีคนไข้ไปฉีดเยอะมากๆแต่มียอดสั่งฟิลเลอร์กับบริษัทนิดเดียว ไม่มีรับรางวัลยอดสั่งซื้อสูงประจำปี ดังนั้นก่อนฉีดเราขอแพทย์ดูกล่องก่อนได้ ว่าฉีดยี่ห้ออะไร รุ่นไหน เป็นของแท้ไหม ถ้าเค้าปฏิเสธไม่ให้ดู เราก็อย่าฉีดค่ะ เอาความปลอดภัยของตัวเองก่อน คลินิกที่ดีจะไม่ตุกติกกับคนไข้เรื่องนี้ค่ะ ถ้าใช้ของแท้ต้องมั่นใจโชว์ให้คนไข้ดูได้) - ต้องฉีดในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น เพื่อความสะอาดและป้องกันการเกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อครับ
เข็มที่ใช้ในการฉีด ฟิลเลอร์
วันนี้เราจะมาอธิบายเรื่อง เข็มฉีดฟิลเลอร์ กันนะครับ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าเข็มที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์นั้นมีกี่แบบ และแต่ละแบบนั้นมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาไขความกระจ่างกันครับ
เข็มฉีดฟิลเลอร์แบบปลายทู่
เข็มยาว หรือที่เรียกว่า Canula นะครับ หรือ เข็มปลายทู่ เป็นเข็มที่ไม่มีความคมคือจะสามารถฉีดเข้าไป โดยการที่เราสามารถหลบหลีกหลบเลี่ยงเส้นเลือดหรือว่าหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บของเนื้อเยื้อได้นะครับ และผมได้ทำคลิปนี้ขึ้นมา เพื่อสาธิตวิธีการใช้เข็มในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายมากขึ้น กดรับชมได้เลยนะครับ
ข้อดีของเข็มทู่
- รอยเปิดเข็มน้อย
- สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องของเส้นเลือดเรื่องของการแทงทะลุเนื้อเยื่อได้สามารถลดอาการบาดเจ็บของเส้นเลือดในบริเวณเนื้อเยื่อรอบๆ ได้
อัตราการเกิดเขียวช้ำน้อยลง - เหมาะสมกับบริเวณที่จะต้องใช้ความละเอียดสูง
ข้อเสียของเข็มทู่
- ต้องใช้เทคนิคและความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ฉีดสูงมาก
- ถ้าแพทย์ผู้ฉีดออกแรงเยอะ หรือเส้นเลือดเปราะก็สามารถแทงโดนเส้นเลือดได้
เข็มฉีดฟิลเลอร์แบบปลายแหลม
ปลายเข็มมีความคม สามารถแทงผ่านผิวได้ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ถึงชั้นกระดูก โดยเฉพาะในจุดที่เนื้อเยื่อมีความเหนียวและแข็งแรง รวมถึงสามารถแทงทะลุผ่านเส้นเลือดได้
ข้อดีของเข็มแหลม
- สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน
- เหมาะกับการใช้ในบางบริเวณนะครับ อย่างเช่น แอเรียที่ต้องใช้ความแม่นยำหรือว่าใช้ในการลิฟติ้งเช่น บริเวณลิฟบริเวณข้างโหนกแก้ม ขมับ ปลายคาง หรือว่าบางครั้งเราอาจจะฉีดร่องแก้มลึกๆ ด้วยเข็มแหลมได้
ข้อเสียของเข็มแหลม
-
ในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละครั้ง จะมีรูเปิดเข็มหลายรอย
-
การใช้เข็มแหลมมีโอกาสที่แทงทะลุเข้าไปในเนื้อเยื่อหรือว่าเข้าไปเส้นเลือดได้ โอกาสเกิดเขียวช้ำได้สูง จากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และหลอดเลือด ดังนั้นหลังจากที่แพทย์ปักเข็มเข้าผิว จะต้องทำการเช็คทุกครั้งว่าปลายเข็มเข้าเส้นเลือดหรือไม่
*ทั้งนี้ เข็มแหลมหรือเข็มทู่ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการใช้ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะครับ แล้วก็ขึ้นอยู่กับแอเรียที่ต้องการใช้ด้วยครับ ก็ไม่ได้หมายความว่าอันไหนแย่อันไหนดีซะทีเดียวนะครับ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งานมากกว่านะครับ
ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. ประเทศไทยในปัจจุบัน
รายชื่อยี่ห้อ ฟิลเลอร์ ด้านล่างนี้ เป็นรายชื่อยี่ห้อที่ได้รับยืนยันแล้วว่าผ่าน อย. ในประเทศไทยทั้งหมด คุณสามารถไว้วางใจได้ครับ
- Juvederm
- Restylane
- Belotero
- Perfectha
- Revanesse
- Neuramis
- YVOIRE Filler
บทความเพิ่มเติม : รวม 7 ฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทย อัปเดทล่าสุด 2024
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
-
- ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น
- ใช้เวลาทำเพียง 15-30 นาที
- ใช้ยาชาเฉพาะที่ จึงรู้สึกเจ็บน้อย
- สามารถใช้แก้ไขปัญหาบนใบหน้าได้หลายอย่าง เช่น ริ้วรอย ร่องลึก รอยแผลเป็น ปรับรูปหน้า
- ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน อย. จะสลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
-
- จะค่อยๆ สลายตัวตามธรรมชาติ โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน
- มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
- ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการบวมแดง ช้ำในบริเวณที่ฉีด
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด
- ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
วิธีการเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ดีที่สุด ?
ฟิลเลอร์ (Filler) แต่ละยี่ห้อมีเนื้อสัมผัสและความคงตัว รวมทั้งจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน ควรเลือกที่ได้รับการรับรองจาก อย. และมีผลข้างเคียงน้อย
โดยยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ได้แก่
-
- Juvederm: จากอเมริกา มีหลายรุ่นให้เลือก เช่น Juvederm Ultra Plus, Juvederm Voluma, Juvederm Volite เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า เติมริมฝีปาก
- Restylane: จากสวีเดน มีหลายรุ่นให้เลือก เช่น Restylane Lyft, Restylane Defyne, Restylane Refyne เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า เติมริมฝีปาก
- Belotero: จากสวิตเซอร์แลนด์ มีหลายรุ่นให้เลือก เช่น Belotero Balance, Belotero Intense, Belotero Soft เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยตื้น
- Neuramis: จากเกาหลี มีหลายรุ่นให้เลือก เช่น Neuramis Deep, Neuramis Fine, Neuramis Volume เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า เติมริมฝีปาก
- Teoxane: จากสวิตเซอร์แลนด์ มีหลายรุ่นให้เลือก เช่น Teoxane RHA 1, Teoxane RHA 2, Teoxane RHA 3 เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยตื้น
(อ่านเพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร)
ประเภทของ ฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
ในอดีตจนถึงปัจจุบันถ้าไม่นับการฉีดไขมันตัวเอง เราใช้สารต่างๆเพื่อทดแทนและเติมเต็มให้ใบหน้าหลายชนิดด้วยกัน แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- กลุ่มถาวร (Permanent Filler)เช่น ซิลิโคนเหลว หรือน้ำมันพาราฟิน ฟิลเลอร์ประเภทนี้ไม่สามารถสลายออกได้ เมื่อเวลาผ่านผลข้างเคียงตามมาเยอะมาก เป็นสารที่ไม่ผ่านการรับรองจากอย. หมอไม่แนะนำให้ฉีดครับ
- กลุ่มกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เช่น สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate) สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide) Polyamine (Aqualift), Hydrofilic gel สารสังเคราะห์ชนิดนี้บางส่วนสามารถสลายออกได้แต่บางส่วนไม่สามารถสลายออกได้ฟิลเลอร์ 2 กลุ่มนี้ ราคาถูก แต่อันตราย หลังฉีดมีผลข้างเคียงตามมามาก เมื่อเวลาผ่านไปจะแปรสภาพเป็นก้อนไหลย้อย สามารถเกิดการอักเสบและติดเชื้อ ทำให้ใบหน้าผิดรูป เป็นสารที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. หมอไม่แนะนำให้ฉีดครับ ฟิลเลอร์2ประเภทนี้ (บางคนเรียกฟิลเลอร์ปลอม) หากต้องการเอาออกจะต้องทำการขูดออก หรือถ้าแข็งมากขูดไม่ออกก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดเอาออกครับ
- กลุ่มชั่วคราว(Temporary Filler)คือ สารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเรียกสั้นๆว่า HA Filler ใบบางคนจะเรียกว่าฟิลเลอร์แท้ ซึ่งเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา (สารนี้มีอยู่ตามผิวเราอยู่แล้วช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและมีความชุ่มชื้น เต่งตึง )ปัจจุบันเป็นสารชนิดเดียวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ว่าสามารถใช้ฉีดได้อย่างปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดการแพ้หรือแพ้น้อยมาก เมื่อฉีดเข้าบริเวณที่ต้องการแก้ไขแล้วจะคงอยู่ได้ประมาณ 4-24 เดือน จัดว่ามีความปลอดภัยสูงและสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ต้องขูดออก HA Filler ถ้าหากไม่ชอบ หรือฉีดมามีปัญหาเป็นก้อนไม่เรียบเนียน สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้ด้วย ไฮยาลูโรนิเดส ( Hyarulonidase )
ฟิลเลอร์ และอายุการใช้งาน แต่ละยี่ห้อ
1. Juvederm
-
- Juvederm Volite ระยะ 8-12 เดือน
- Juvederm Ultra Plus ระยะ 12 เดือน
- Juvederm Volift ระยะ 12 เดือน
- Juvederm Volbella ระยะ 12 เดือน
- Juvederm Voluma ระยะ 18 เดือน
- Juvederm Volux ระยะ 18-24 เดือน
2. Restylane
-
- Restylane Lyft ระยะ 12-18 เดือน
- Restylane Defyne ระยะ 12-18 เดือน
- Restylane Refyne ระยะ 12-18 เดือน
- Restylane Vital Light ระยะ 6-12 เดือน
- Restylane Volyme: ระยะ 18-24 เดือน
3. Belotero
-
- Belotero Balance ระยะ 6-12 เดือน
- Belotero Intense ระยะ 12-18 เดือน
- Belotero Soft ระยะ 6-12 เดือน
4. Teoxane
-
- Teoxane RHA 1 ระยะ 6-9 เดือน
- Teoxane RHA 2 ระยะ 9-12 เดือน
- Teoxane RHA 3 ระยะ 12-18 เดือน
5. Neuramis
-
- Neuramis Deep ระยะ 12-18 เดือน
- Neuramis Fine ระยะ 6-12 เดือน
- Neuramis Volume ระยะ 18-24 เดือน
วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย ?
การเลือกฟิลเลอร์แท้ ควรดูคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล แพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งฟิลเลอร์แท้จะสามารถตรวจสอบเลขทะเบียน อย. บนกล่อง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารกำกับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เลข lot. สติกเกอร์ และหลอดต้องตรงกัน 4 จุด หรือสแกน QR Code บนกล่อง และโทรเช็คเลข lot. กับบริษัทผู้จำหน่าย จากนั้นสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ รุ่น ปริมาณ ผลข้างเคียง วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่ทาน แพ้ยาอะไร
ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดควรใช้กี่ CC
1. บริเวณที่ต้องการฉีด
-
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้มอยู่ที่ 1-2 CC ข้างละ 0.5-1 CC
- ฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ที่ 1-3 CC ข้างละ 0.5-1.5 CC
- ฟิลเลอร์ปาก จะใช้ฟิลเลอร์ปากอยู่ที่ 0.5-1 CC ข้างละ 0.25-0.5 CC
- ฟิลเลอร์คาง จะใช้ฟิลเลอร์คางอยู่ที่ 1-2 CC
- ฟิลเลอร์ปาก จะใช้ฟิลเลอร์ปากอยู่ที่ 1-2 CC
- ฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้ฟิลเลอร์หน้าผากอยู่ที่ 2-3 CC
- ฟิลเลอร์ขมับ จะใช้ฟิลเลอร์ขมับอยู่ที่ 2-3 CC
- ฟิลเลอร์จมูก จะใช้ฟิลเลอร์จมูกอยู่ที่ 0.5 – 1 CC
อ่านบทความเพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์จมูก VS เสริมจมูก
2. ปัญหาที่ต้องการแก้ไข
-
- ริ้วรอยลึก ต้องการใช้มากกว่าริ้วรอยตื้น เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฟิลเลอร์หน้าผาก
- รอยแผลเป็น ต้องการใช้มากกว่ารอยเหี่ยวย่น
3. ผลลัพธ์ที่ต้องการ
-
- ต้องการผลลัพธ์ธรรมชาติ ต้องการใช้น้อย
- ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน ต้องการใช้มาก
4. ชนิด
-
- ความเข้มข้นสูง ต้องการใช้น้อย
- ความเข้มข้นต่ำ ต้องการใช้มาก
ซึ่งโดยปกติแล้ว ฟิลเลอร์ใต้ตาและฟิลเลอร์ปากใช้อยู่ที่ 0.5-1 CC ส่วนฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์คาง ใช้อยู่ที่ 1-2 CCขณะที่ฟิลเลอร์หน้าผาก และขมับ ใช้อยู่ที่ 2-3 CC
ฉีดฟิลเลอร์คางใช้ปริมาณ 1 CC เพียงพอหรือไม่?
การฉีดฟิลเลอร์คางนั้นใช้ฟิลเลอร์เพียง 1-2 CC. ก็เพียงพอแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เป็นอยู่ เพราะอาจจะต้องมีการเพิ่มปริมาณฟิลเลอร์เช่นกัน
(อ่านเพิ่มเติม: โปรแกรมฟิลเลอร์ 1 cc. ปริมาณเท่าไหร่ เพียงพอสำหรับฉีดคางหรือไม่)
ฉีดฟิลเลอร์คาง 2 CC อันตรายหรือไม่ ?
ในการฉีดฟิลเลอร์นั้น ทีมแพทย์จะทำการวิเคราะห์ก่อนว่าต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไหร่ กี่ CC ในการฉีด แต่ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์คางปริมาณ 2 CC ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เพราะในกรณีที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางตัด ก็จะมีการใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณ 1-2 CC. อยู่แล้ว
(อ่านเพิ่มเติม: โปรแกรมฟิลเลอร์คาง 2 cc. อันตรายหรือไม่ พร้อมวิธีดูแลอย่างถูกวิธี)
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
-
- ปรึกษาแพทย์ แจ้งปัญหา ความต้องการ ประวัติการแพ้ และยาที่ทาน โรคประจำตัว ซึ่งแพทย์จะประเมิน เลือกปริมาณให้เหมาะสม
- งดอาหาร และยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด วิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก
- งดแอลกอฮอล์ และบุหรี่ 1-2 วันก่อนฉีด
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
- เตรียมร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ศึกษาข้อมูลให้เพียงพอ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
ก่อนฉีด
-
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะตรวจสภาพผิวหน้า วิเคราะห์ปัญหา และแนะนำชนิด ปริมาณ และตำแหน่งที่เหมาะสมในการฉีด
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่ทาน ประวัติการแพ้ และความคาดหวังก่อนการฉีดฟิลเลอร์
- งดยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาหารเสริม วิตามินบางชนิด และแอลกอฮอล์ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์
ระหว่างฉีด
-
- แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าและทายาชา
- แพทย์จะฉีดด้วยเข็มขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
- แพทย์จะนวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจายฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์
-
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดบวม
- นวดเบาๆ บริเวณที่ฉีด วันละ 2-3 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดด การแต่งหน้า การนวดหน้า และการออกกำลังกายหนักๆ เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- นัดหมายกับแพทย์เพื่อติดตามผล 1-2 อาทิตย์หลังฉีด
- ผลข้างเคียงอาจมีรอยบวม แดง ช้ำ คัน หรือปวด อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากพบอาการเหล่านี้เกิน 2 วัน เช่น เป็นก้อน ผิวขรุขระ ผิวซีด เย็น ชา และไม่มีความรู้สึก ควรพบแพทย์ทันที
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. ผลข้างเคียงทั่วไป มักเกิดขึ้นหลังฉีดใหม่ๆ และหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
- รอยแดง บวม ช้ำ เกิดจากรอยเข็มฉีด และการอักเสบ
- อาการปวดตึง บริเวณที่ฉีด เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อ
- อาการคัน บริเวณที่ฉีด
2. ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงมากกว่า
-
- การติดเชื้อ เกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อโรค มักมีอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ มีหนอง
- การแพ้ มักมีอาการบวม แดง คัน รุนแรง หายใจลำบาก
- การอุดตันของเส้นเลือด เกิดจากการฉีดไปอุดตันเส้นเลือด ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือด
- ก้อนเนื้อแข็ง เกิดจากการฉีดที่ไม่สม่ำเสมอ หรือเก่าเสื่อมสภาพ
- ตาบอด ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด เกิดจากฉีดแล้วไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
- ประคบเย็น 1-2 วันแรกเพื่อลดอาการบวม
- งดนวดหน้า ทรีทเม้นท์ เลเซอร์ ซาวน่า 2 สัปดาห์แรก
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วัน
- งดออกกำลังกายหนัก 2 วัน
- ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น หลังเติมฟิลเลอร์ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ การดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น แต่ในกรณีเขียวช้ำง่าย ควรลดการดื่มน้ำช่วง 3-4 วันแรก เพื่อทำให้ลดบวมช้ำได้ไวขึ้น
- งดทานยา หรือวิตามินที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน Vitamin E, ใบแป๊ะก๊วย ,โสม 1-2 สัปดาห์แรก
- วันรุ่งขึ้นสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
ฟิลเลอร์ กี่วันเข้าที่ บวมกี่วัน ต้องพักฟื้นกี่วัน
หลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ต้องพักฟื้นสามารถแต่งหน้าใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อาจมีอาการบวมแดงในจุดที่ฉีด จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 2-3 วัน และจะเข้าที่ประมาณ 14 วันหลังจากฉีด ทั้งนี้ยังอยู่ได้ยาวนานถึง 8-24 เดือนหลังจากนั้น จะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะอยู่กับเราได้นานแค่ไหนนั้น จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและบริเวณของการฉีด นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังจากการฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย
(อ่านเพิ่มเติม: ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ? วิธีช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้อยู่นานขึ้น?)
ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร
การฉีดสลายฟิลเลอร์ หรือ Dissolving Filler เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้สารเอนไซม์ชื่อไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ได้รับไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) จากการฉีดฟิลเลอร์เพื่อสลายพื้นที่ดังกล่าว กระบวนการนี้มักใช้เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือเมื่อเกิดปัญหาเช่น เป็นก้อน ไม่เรียบเนียน หรือดูไม่เป็นธรรมชาติ จากฉีดฟิลเลอร์
การฉีดสลายจะทำให้โมเลกุลของที่ฉีดไว้ลดการจับตัวกันและสลายตัวลง ทำให้ผิวกลับมาคืนสภาพใกล้เคียงกับก่อนการฉีด ซึ่งสารไฮยาลูโรนิเดสทำปฏิกิริยากับฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งเป็นสารที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม การฉีดสลายอาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น การบวม ความรู้สึกไม่สบาย หรือการแพ้ต่อสารไฮยาลูโรนิเดส ซึ่งควรได้รับการตรวจสอบและดูแลโดยแพทย์
สาเหตุของการฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนไม่เรียบเนียน
- เทคนิคและประสบการณ์การฉีดของแพทย์ที่ทำการ ฉีดสลายฟิลเลอร์ โดยแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับชนิดของฟินเลอร์ที่จะฉีด รวมถึงโครงสร้างทางสรีระวิทยาของร่างกายมนุษย์ ศิลปะและการดีไซน์รูปหน้าที่จะใช้ในการตัดสินใจการวางตำแหน่งที่จะฉีดฟิลเลอร์จะต้องถูกต้องและเหมาะสมกับคนไข้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีสูงสุด แพทย์ผู้ฉีดที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ที่เพียงพอก็จะทำให้มีโอกาสฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนได้สูง เนื่องจากฉีดผิดชั้นผิว ผิดตำแหน่งนั่นเอง
- ชนิดของฟินเลอร์ที่จะใช้ฉีดต้องมีความเหมาะสมกับตำแหน่งบริเวณที่ฉีด เช่นฟิลเลอร์ที่มีขนาดของโมเลกุลที่มีความหนาแน่นสูงควรฉีดในผิวหนังระดับลึก เพราะถ้ามาใช้ฉีดในระดับตื้นของผิวหนัง เหนือกล้ามเนื้อ เวลาที่เราขยับ หรือแสดงสีหน้า ก็จะดันให้ฟินเลอร์ที่ฉีดมาเป็นก้อนได้
- ปริมาณที่ใช้ฉีดมากเกินไปไม่เหมาะสม เกินความจำเป็นที่ใช้ในการแก้ปัญหาของจุดนั้นนั้น
- บวมหลังฉีดฟิลเลอร์ โดยปรกติหลังฉีดฟิลเลอร์อาจจะมีอาการบวมได้บ้าง ถ้าบวมเล็กน้อยไม่เยอะจะประมาณ2-3วัน แต่ในบางคนที่เป็นคนผิวบวมง่ายก็อาจจะพบอาการบวมได้ถึง5-7วัน
โดยปกติแล้วฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่อยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน ในระหว่างนี้คนไข้อาจจะต้องรอให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดมายุบบวมก่อนหลัง7-14 วันเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นอาการบวม หรือฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน - ฟิลเลอร์ที่ฉีดมาเป็นของปลอม คือไม่ใช่ HA ฟิลเลอร์ เป็นฟินเลอร์ชนิดที่ไม่สามารถสลายตัวได้เองหรือไม่ผ่าน อย. ฟิลเลอร์ประเภทนี้ราคาถูกแต่ไม่มีประสิทธิภาพ ช่วงแรกหลังฉีดสลายฟิลเลอร์ อาจจะสวยงามเรียบเนียนดี แต่หลังจากนั้นต่อมาจะเกาะกลุ่มเป็นก้อนไหลและห้อยย้อยไม่เป็นทรง ไม่เป็นรูปร่างเหมือนเก่า เปลี่ยนสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้นจึงไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้เด็ดขาด เพราะไม่มีตัวยาที่จะมาฉีดสลายออกได้ เมื่อมีปัญหาจะต้องทำการขูดออกหรือศัลยกรรมผ่าตัดออกเท่านั้น
ฉีดสลายฟิลเลอร์ อยากสลายออกต้องทำอย่างไร?
- แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจผิวบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมถึงปริมาณที่ฉีดมา เราต้องทราบก่อนว่าฟิลเลอร์ที่เราฉีดมานั้นเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ โดยปัจจุบันฟิลเลอร์แท้ จะหมายถึง ไฮยาลูโรนิเดส หรือเรียกสั้นๆว่า HA Filler ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียว ที่องค์การอาหารและยาหรือ อย. อนุญาตให้ใช้ฉีดเติมเต็มได้อย่างปลอดภัย ถ้าเป็น HA ฟิลเลอร์จะสามารถฉีดสลายออกได้ด้วย ไฮยาลูโรนิเดส ซึ่งถ้าฉีดฟิลเลอร์แท้มาแล้วมีปัญหาไม่ชอบ ฟิลเลอร์เป็นก้อน ก็สามารถฉีดสลายออกได้ โดยแพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ทำหัตถการฉีดสลาย ฟิลเลอร์ ให้
- จะมีการทำความสะอาดผิวก่อนฉีดสลาย แพทย์ผู้ทำการแก้ไขจะผสมส่วนผสมของยาในปริมาณที่เจือจางและเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ HA ฟิลเลอร์ ในบางเคสหลังฉีดสลายแพทย์จะทำการนวดบริเวณที่ฉีดสลายด้วย เพื่อให้ยาฉีดสลายกระจายได้ดียิ่งขึ้น
- หากต้องการฉีดแก้ไขฟิลเลอร์ ควรจะทิ้งระยะห่างหลังฉีดสลายประมาณ 5-7 วัน ไม่ควรฉีดใหม่เลยทันทีเนื่องจากยาฉีดสลายฟิลเลอร์ยังออกฤทธิ์อยู่ ซึ่งระยะเวลา 5-7 วันจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเนื้อเยื่อผิวบริเวณที่ฉีดสลายไปแล้วนั้นเริ่มเข้าที่
*ทั้งนี้ การฉีดสลายฟิลเลอร์ไม่เป็นหัตถการอันตราย ถ้าทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะมีความปลอดภัย หลังฉีดสลายในบางคนอาจมีการแพ้ยาฉีดสลายฟิลเลอร์ มีอาการข้างเคียงได้เช่น คัน บวม แดง บริเวณที่ฉีดเล็กน้อย แนวทางการรักษาก็จะมีการให้ยาแก้แพ้และประคบเย็นเพื่อลดอาการ แต่ถ้าหากมีอาการแพ้มาก เช่น บวมมาก ปวดมาก แดงมาก คันมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์
ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่?
โดยปกติแล้ว ฟิลเลอร์ จะคิดเป็นราคาต่อฟิลเลอร์ 1 cc หรือ 1 หลอด หากผู้รับริการมีปัญหาบนใบหน้าเยอะ ปริมาณจำนวนฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาก็จะต้องเยอะตาม โดยคูณราคาต่อหน่วยเข้าไป (เช่น ราคาฟิลเลอร์อยู่ที่ 15,000 บาทต่อ 1 cc ต้องการฉีด 3 cc จะต้องจ่าย 45,000 บาท ) ราคาของฟิลเลอร์จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลากหลายองค์ประกอบ
- ราคาต้นทุนฟิลเลอร์ที่ซื้อจากบริษัทยา แต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่น ราคาก็จะมีความแตกต่างกัน ตามคุณภาพและคุณสมบัติของฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นๆ
- ต้นทุนสถานพยาบาล และคลินิก ค่าเช่าที่ เงินเดือนพนักงาน และค่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในคลินิก
- ค่าแพทย์ผู้ฉีดฟิลเลอร์ แพทย์ผู้ฉีดเป็นตัวแปลที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องพิจารณา เป็นผู้กำหนดเลือกคุณภาพของฟิลเลอร์รวมถึงมาตรฐานของสถานพยาบาลหรือคลินิก ใบหน้าเราสำคัญที่สุด เราจะเลือกแพทย์ที่เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ดีที่สุดให้เรา รุ่นที่เหมาะสมกับปัญหาให้เรา คำนึงถึงความปลอดภัยของเราเป็นที่สุดตามหลักวิชาการ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง หรือฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนก็ได้ที่ผ่าน อย. หรืออุปกรณ์อะไรก็ได้ที่ประหยัดต้นทุนที่สุด หรือฉีดด่วนฉีดเร็วเกินไปขาดความละเอียดเสี่ยงกับความปลอดภัย ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นก้อนไม่เรียบเนียน เราเลือกพิจารณาได้ค่ะ
การขูดฟิลเลอร์ คืออะไร
การขูดฟิลเลอร์เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ไว้ไม่สามารถสลายได้เองหรือเกิดปัญหาหลังการฉีด เช่น เป็นก้อน มีการอักเสบ หรือบริเวณที่ทำให้ฟิลเลอร์ไม่เรียบเนียน กระบวนการนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดเพื่อเอาฟิลเลอร์ออกจากผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิลเลอร์ประเภทกึ่งถาวรที่ไม่สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส
การขูดจากฉีดฟิลเลอร์จะจำเป็นต้องทำเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดไว้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปทรง หรือเมื่อมีฉีดฟิลเลอร์ปลอมที่อาจมีสารไม่บริสุทธิ์และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ ในกรณีที่ฟิลเลอร์เกาะเป็นพังผืดหรือเกิดการอักเสบ การขูดออกอาจเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขได้
ฉีดฟิลเลอร์เสริมโหงวเฮ้ง?
YVOIRE Filler ฟิลเลอร์เกรดพรีเมี่ยมเเบรนด์น้องใหม่จากเกาหลีค่ะ ซึ่งตัวที่ผ่านอย.จะเป็นรุ่น YVOIRE Volume Plus กล่องสีม่วง โดยผ่านการรับรองมาตรฐานในไทย รวมถึงผ่านการรับรองมาตรฐานจากประเทศสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป พัฒนาโดย บริษัท แอลจี เคม (LG Chem) ซึ่งเป็นบริษัทเคมีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ มีความปลอดภัยสูงเหมาะสำหรับฉีดเติมบริเวณหน้าผาก ขอบปาก ร่องแก้ม ขมับ และเสริมจมูก
อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน
อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอมเมื่อช่วงแรกๆ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วอาจจะดูสวยและเรียบเนียนดี แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย อาจเกิดได้หลากหลายอาการ ดังนี้
- เมื่อเวลาผ่านไปโดยประมาณ 2-5 ปี ฟิลเลอร์ปลอมจะเริ่มแข็งเป็นก้อนเป็นลำ หรือไหลกองลงมาเป็นก้อน ทำให้ผิวบริเวณนั้นไม่เรียบเนียน
- ทำให้เกิดการบวม ห้อยย้อย เป็นก้อนเป็นลำ แข็งนูน
- ผิวบริเวณนั้นอาจเกิดอาการบวมแดง หรือติดเชื้อเกิดการอักเสบ
- บริเวณผิวหนังที่ฉีดอาจเกิดการผิดรูปไปจากเดิม
- ที่แย่ที่สุด อาจเกิดเนื้อตาย และเกิดพังผืดบริเวณนั้นๆ
- ไม่ค่อยอยากพบปะผู้คน สูญเสียความมั่นใจ และกลัวการฉีดฟิลเลอร์
(อ่านเพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์ปลอมต้องขูดออกจริงหรือ?)
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ?
ฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมดูยังไง?
ในการดูว่าฟิลเลอร์ที่เราจะฉีดนั้นเป็นของแท้หรือไม่ สามารถดูได้เบื้องต้นตามวิธี ดังนี้
- มีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ในกล่อง
- เลข Lot. (บางยี่ห้อจะมี 3 จุด บางยี่ห้อมี 4 จุด)
- ในยี่ห้อ Restylane จะมีสติ๊กเกอร์โมโนแกรมที่มีคำว่า “VOID” ปิดปากกล่องไว้
ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ที่ Amarante Clinic
- Amarante clinic เรามุ่งเน้นความเป็นเลิศในเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ นำทีมเเพทย์โดย คุณหมอต้น นพ.สฤษดิ์ ตันติอภิชาต อาจารย์แพทย์ด้านฟิลเลอร์
- คุณหมอต้น เป็นอาจารย์เเพทย์สอนฉีดฟิลเลอร์ มีประสบการณ์ในวงการความงามกว่า 16 ปี รวมถึงมีทีมเเพทย์ที่มากประสบการณ์
- เป็นคลินิกที่ได้รับรางวัล 1 ใน TOP ยอดฉีดฟิลเลอร์สูงสุดระดับประเทศตั้งเเต่ปี 2016-2020 ( 5 ปี ซ้อน)
- คุณหมอใส่ใจในรายละเอียด พิถีพิถันทุกขั้นตอน ดูทุกมุมมอง รวมถึงการแสดงสีหน้า การทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆบนใบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีสูงสุดในทุกมิติ
- คุณหมอมุ่งเน้นความสวยในเเบบอัตลักษณ์ของผู้รับบริการ ทำให้พอดีรับกับใบหน้าไม่ฉีดยัดเยียดจนเกินพอดี เพราะจะทำให้ใบหน้าดูเต็มดูเยอะไปหมด และดูไม่เป็นธรรมชาติ
- คุณหมอพิจารณาเเละวิเคราะห์รูปหน้ารวมถึงเเก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เเละเป็นผู้คิดค้นการฉีดฟิลเลอร์เทคนิค Royal lift เป็นเทคนิคเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เน้นความละมุนเป็นธรรมชาติและยกกระชับให้หน้าดูอ่อนกว่าวัย
ดารา และ Celebrity ที่ไว้วางใจ Amarante clinic
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ กับ Amarante Clinic
รวมรีวิวฟิลเลอร์ โดย คุณหมอต้น แพทย์ผู้นำด้านการฉีดฟิลเลอร์ ที่ให้เห็นผลลัพธ์มากที่สุด และยังได้รับความไว้วางใจจากดาราและเซเลบบริตี้ชั้นนำในประเทศไทย
รีวิว ฟิลเลอร์ใต้ตา
รีวิว ฟิลเลอร์ขมับตอบ แก้มตอบ
รีวิว ฟิลเลอร์ปากอวบอิ่ม
รีวิว ฟิลเลอร์คาง
รีวิว ฟิลเลอร์หน้าผาก
รีวิว ฟิลเลอร์หน้าผาก
แก้ไขฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ฉีดมาจากที่อื่น
คำถามที่พบได้บ่อย (FAQ)
การฉีดฟิลเลอร์จะไม่ได้ทำให้ผิวหน้าแก่กว่าเดิมหลังจากที่ฟิลเลอร์สลายไป เพราะฟิลเลอร์ที่ใช้กันทั่วไปมักจะเป็นชนิดที่สลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเมื่อสลายหมดจะกลายเป็นน้ำและซึมไปตามผิวหนังโดยไม่เป็นอันตราย
หลังจากฟิลเลอร์สลายหมด ผิวหนังจะกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการฉีด แต่อาจมีความยืดหยุ่นน้อยลงเล็กน้อยเนื่องจากกระบวนการธรรมชาติของการแก่ของผิวหนัง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฉีดฟิลเลอร์ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างธรรมชาติของผิวหนังหรือกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียคอลลาเจนหรืออิลาสติน
การดูแลผิวหลังการฉีดก็มีส่วนช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์และลดการเกิดผลข้างเคียง ด้วยการใช้ครีมกันแดด การบำรุงผิวด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับผิว สามารถช่วยรักษาคุณภาพของผิวหนังและชะลอการเกิดริ้วรอยได้นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนบางส่วน ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้นหลังจากฟิลเลอร์สลายไปแล้ว
หากต้องการเติมฟิลเลอร์ ในขณะที่ฟิลเลอร์ที่เดิมยังไม่ได้สลายหมด ควรมีระยะเวลาห่างจากการฉีดครั้งแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกินขนาดที่อาจส่งผลต่อชั้นผิวเดิม การเติมฟิลเลอร์เพิ่มเติมควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถประเมินผลลัพธ์จากการฉีดครั้งแรกและคำนึงถึงความเหมาะสมในการฉีดเพิ่ม ทั้งนี้ก่อนการเติมฟิลเลอร์เดิมจะสลายหมดอาจทำให้เกิดลักษณะเป็นก้อนคลื่นได้
หลังจากที่สลายหมดแล้ว สามารถเปลี่ยนยี่ห้อของที่จะฉีดเพิ่มได้ไม่มีข้อจำกัดที่ว่าต้องใช้ยี่ห้อเดิมที่เคยใช้มาก่อน การเปลี่ยนยี่ห้อของฟิลเลอร์อาจขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ ความต้องการของคุณเอง และผลลัพธ์ที่คุณต้องการ
ควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานและมีประสบการณ์เกี่ยวกับฟิลเลอร์ รวมถึงใช้ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง ซึ่ง Amarante Clinic ภายใต้การดูแลของ คุณหมอต้น นพ.สฤษดิ์ ตันติอภิชาต หนึ่งในผู้นำด้านการฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ด้วย Juvéderm ที่อยู่ในระดับท๊อปของประเทศไทย 7 ปีซ้อน ทำให้มั่นใจในเรื่องคุณภาพและบริการอย่างแน่นอน นอกจากนี้ที่ Amarante Clinic มีคนไข้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมถึง ดารา เซเลบ มากมายให้ความไว้วางใจเข้ามารับบริการฉีดฟิลเลอร์เป็นจำนวนมาก
- อ่านบทความเพิ่มเติม: ครั้งแรกกับการฉีดฟิลเลอร์ที่ Amarante Clinic
ราคาฉีดขึ้นอยู่กับชนิด,ปริมาณฟิลเลอร์ และบริเวณที่ฉีด เฉลี่ยราคาเริ่มต้นซีซีละ 1,999 บาท
- ร่องแก้ม 10,000-20,000 บาท
- ใต้ตา 10,000-20,000 บาท
- ปาก 10,000-20,000 บาท
- คาง 15,000-30,000 บาท
- หน้าผาก 15,000-30,000 บาท
ส่วนสาเหตุที่แต่ละจุดมีราคาที่ต่างกัน เนื่องจากความยากง่ายของบริเวณที่ฉีด อย่าง ร่องแก้ม ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด, ใต้ตาเส้นเลือดเยอะ เสี่ยงต่อการเกิดฟิลเลอร์อุดตัน, ปาก ต้องการความแม่นยำ คางและหน้าผากมีพื้นที่กว้าง ต้องการปริมาณฟิลเลอร์มาก เป็นต้น
การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติและสามารถสลายได้เอง ควรทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ โดยใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีดของแพทย์และการดูแลตัวเองหลังการฉีดด้วย
ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น บริเวณที่ต้องการฉีด ปริมาณฟิลเลอร์ งบประมาณ และความชอบส่วนตัว เป็นต้น โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมได้แก่
- Juvederm จากอเมริกา มีหลายรุ่น เหมาะกับหลายจุด เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ริมฝีปาก
- Restylane จากสวีเดน มีหลายรุ่น เหมาะกับหลายจุด เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ริมฝีปาก
- Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์ เหมาะกับจุดที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ริมฝีปาก
- Neuramis จากเกาหลี เหมาะกับจุดที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา
- Teosyal จากสวิตเซอร์แลนด์ มีหลายรุ่น เหมาะกับหลายจุด เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ริมฝีปาก
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ อาการบวมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาการบวมนี้สามารถหายได้เองภายใน 7-14 วัน โดยทั่วไป ผลลัพธ์ที่ชัดเจนของฟิลเลอร์ที่จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ หลังจากฉีด หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด และควรอยู่ในที่อากาศเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวม จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น
และสำหรับการดูแลหลังฉีด ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ และหลีกเลี่ยงการขัดหรือนวดหน้า ไม่ควรทาครีมบริเวณรอยเข็มในคืนแรก และควรงดทำทรีทเมนต์หรือไปซาวน่าเป็นเวลา 14 วัน หลังฉีด นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้น
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของสารที่มีชื่อว่า Botulinum Toxin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum โบท็อกซ์ทำงานโดยการชะลอการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่ฉีดผ่อนคลายและลดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ซึ่งช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และรอยตีนกา
ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มที่ใช้ในการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะใช้กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในผิวหนังของมนุษย์ หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ช่วยให้ผิวหน้าดูอิ่มฟูและเรียบเนียนอยู่ได้นาน นอกจากนี้ยังช่วยในการปรับรูปหน้าและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง
สำหรับการเลือกใช้โบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ต้องการและคำแนะนำของแพทย์ โบท็อกซ์เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ในขณะที่ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้า
การฉีดฟิลเลอร์บนใบหน้าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หลายอย่าง โดยทั่วไป ฟิลเลอร์จะช่วยในการช่วยลดริ้วรอยและร่องลึกของใต้ตา แก้ม ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีน้ำมีนวล,เติมเต็มโหนกแก้ม คาง หรือจมูก ทำให้ใบหน้ามีมิติและสมส่วนมากขึ้น ช่วยให้ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งและชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตและปรับผิวให้เต่งตึง ดูมีน้ำมีนวล ในบริเวณที่ฉีด
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และเพิ่มวอลลุ่มให้กับใบหน้า ตัวอย่างจุดที่ใช้ฉีด: ร่องแก้ม ริมฝีปาก ใต้ตา หน้าผาก โหนกแก้ม และคาง
- โพลียูรีเทน (Polyurethane) มีความคงทนยาวนานกว่าฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก แอซิด เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปหน้าที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนาน ตัวอย่างจุดที่ใช้ฉีด: คาง ปลายจมูก
- ซิลิโคน (Silicone) มีความคงทนถาวร เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปหน้าที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรตัวอย่างจุดที่ใช้ฉีด: คาง ปลายจมูก
- กึ่งถาวร (Semi-permanent Filler) มีความคงทนนานกว่าฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก แอซิด แต่สั้นกว่าฟิลเลอร์โพลียูรีเทน เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปหน้าที่ต้องการผลลัพธ์กึ่งถาวร ตัวอย่างจุดที่ใช้ฉีด: ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
- PLLA (Poly-L-lactic Acid) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปหน้าที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนาน และต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวอย่างจุดที่ใช้ฉีด: ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
- บุคคลที่มีริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยใต้ตา รอยยิ้ม
- บุคคลที่มีใบหน้าตอบ แก้มตอบ ต้องการเติมเต็มให้ใบหน้าดูอิ่มฟู
- บุคคลที่มีปัญหาโครงสร้างใบหน้า เช่น คางสั้น คางตัด ต้องการปรับให้ใบหน้าดูสมดุล
- บุคคลที่ต้องการแก้ไขรูปหน้า เช่น ปรับรูปจมูก ปรับโหนกแก้ม เติมเต็มริมฝีปาก
- บุคคลที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม การใช้ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, บุคคลที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, บุคคลที่มีประวัติแพ้ยา และบุคคลที่มีสิวอักเสบหรือแผลบริเวณใบหน้า
การฉีดฟิลเลอร์มีราคาที่สูงเนื่องจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งคุณภาพของฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของคุณสมบัติ ความคงทน ความปลอดภัย และความเข้มข้นของสารกรดไฮยาลูโรนิก รวมถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์
สาเหตุของใต้ตาคล้ำส่วนใหญ่เกิดจาก นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด พันธุกรรม การสูญเสียไขมันใต้ตารอยคล้ำจากเส้นเลือด และการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิว
วิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำโดยไม่ต้องใช้ฟิลเลอร์ ใช้ผ้าเย็นหรือถุงชาแช่เย็นประคบใต้ตา 10-15 นาที ช่วยลดบวมและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต วางแผ่นแตงกวาบนเปลือกตา 10-15 นาที ลดบวมและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต นำถุงชาแช่เย็นมาวางบนเปลือกตา 10-15 นาที กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ใต้ตาเป็นประจำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย เลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และรอยคล้ำ หรือใช้วิธี Intense Pulsed Light (IPL)คือการฉายลำแสงความเข้มข้นสูง ลดเลือนรอยคล้ำ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ก้สามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำได้
- อ่านบทความเพิ่มเติม: โปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา เทคโนโลยีล้ำสมัย เติมเต็มร่องลึก ลดริ้วรอย
สาเหตุที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน อาจจะเกิดจากฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน มีสิ่งเจือปนหรือสารที่ไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นก้อน ความเหมาะสมของฟิลเลอร์กับบริเวณที่ฉีดแตกต่างกัน นอกจากนี้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากเกินไป เทคนิค ตำแหน่งการฉีด และการนวดหลังหลังฉีดก็มีส่วนเช่นกัน
ขณะที่ลักษณะของผู้รับการฉีด อายุ กรรมพันธุ์ รวมไปถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแรง อาจจะดันฟิลเลอร์ขึ้นมาเป็นก้อน และการติดเชื้อ หรือการแพ้ พฤติกรรมกด ดัน นวด บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ก็ส่งผลให้เกิดก้อนเหมือนกัน
การฉีดฟิลเลอร์ยกหน้า เห็นผลลัพธ์ทันที ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ราคาถูกกว่าผ่าตัดดึงหน้า แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 6-12 เดือน อาจเกิดรอยฟกช้ำ บวม ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก การผ่าตัดดึงหน้า ผลลัพธ์ยาวนาน 5-10 ปี แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างถาวร เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก ต้องผ่าตัด พักฟื้นนาน ราคาแพงกว่าฉีดฟิลเลอร์ อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น แผลเป็น เส้นประสาทเสียหาย
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการ พร้อมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก แพทย์ และราคาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีก่อนการตัดสินใจอีกที
การฉีดฟิลเลอร์มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ รอยฟกช้ำ บวม แดง อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ กรณีฉีดฟิลเลอร์แล้วแก้มห้อย คางย้อย คางแม่มด อาจมาจาก เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ฟิลเลอร์บางชนิดไม่เหมาะกับบริเวณแก้ม คาง ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากเกินไป และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หลังฉีดเรียบร้อยแล้ว หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและหาวิธีแก้ไข
ยังไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ เนื่องจากสารเหล่านี้ยังไม่สลายตัว รวมถึงฟิลเลอร์มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เมื่อฉีดฟิลเลอร์ อาจไปดันสารเหล่านี้ให้กระจายตัว เกิดเป็นก้อน ทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ
การฉีดฟิลเลอร์เ็ป็นการแก้ปัญหาและการปรับรูปหน้ามีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีความเสี่ยงและผลข้างเคียง เช่น รอยฟกช้ำ บวม แดหรือเกิดอาการแพ้ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือด หรือ ฟิลเลอร์กระจายตัว เกิดเป็นก้อน ส่วนอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้แก่ ผื่นคัน ลมพิษ บวม ร้อนแดง และ หายใจลำบาก หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ทันที
การเลือกเติมฟิลเลอร์เข็มปลายแหลมหรือเติมฟิลเลอร์ปลายทู่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ตำแหน่งที่ต้องการฉีด ประเภทเทคนิคของแพทย์ และความชอบส่วนตัว โดยการเติมฟิลเลอร์เข็มปลายแหลม จะมีความแม่นยำ เหมาะกับการฉีดในจุดที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ร่องลึกใต้ตา ริมฝีปาก และฉีดเนื้อข้นได้ แต่เจ็บกว่าเข็มปลายทู่ เสี่ยงต่อการเกิดรอยฟกช้ำ บวม แดง และไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์เนื้อเหลว การเติมฟิลเลอร์เข็มปลายทู่ เจ็บน้อยกว่าการเติมฟิลเลอร์เข็มปลายแหลม เสี่ยงต่อการเกิดรอยฟกช้ำ บวม แดง น้อยกว่า เหมาะกับการฉีดเนื้อเหลว แต่มีความ แม่นยำกว่าเข็มปลายแหลม ไม่เหมาะกับการฉีดในจุดที่ต้องการความแม่นยำสูง
การเติมไขมัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ดูเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และเสี่ยงต่อการแพ้น้อย แต่อาจใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า ผลลัพธ์ไม่แน่นอน เสี่ยงต่อการเกิดก้อนไขมัน ขณะที่ฟิลเลอร์ เห็นผลเร็ว พักฟื้นน้อย ผลลัพธ์ค่อนข้างแน่นอน แต่ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นานเสี่ยงต่อการแพ้ และอาการแทรกซ้อน
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงและแก้ปัญหาของใบหน้า รวมถึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก หรือต้องการปรับแต่งรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และมีมิติมากขึ้น นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าให้กลับมาคงความอ่อนวัย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
บทความที่เกี่ยวข้อง
- อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
- อ่านบทความเพิ่มเติม :ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- อ่านบทความเพิ่มเติม :ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ
- อ่านบทความเพิ่มเติม :ฉีดฟิลเลอร์ปาก
- อ่านบทความเพิ่มเติม :ฉีดฟิลเลอร์คาง
- อ่านบทความเพิ่มเติม : วิดีโอรีวิวฟิลเลอร์
- อ่านบทความเพิ่มเติม : รีวิว ฟิลเลอร์
- อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดสลายและแก้ไขฟิลเลอร์