หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ารอบดวงตาของเรามีก้อนไขมันอยู่ด้วย ซึ่งถูกเรียกว่าถุง ไขมันใต้ตา ดูเผินๆ อาจไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่จริงๆ แล้ว เจ้าก้อนเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาน่ารำคาญใจอย่างถุงใต้ตาบวมได้ ซึ่งหลายคนที่มีปัญหานี้จะรู้สึกขาดความมั่นใจและดูหน้าแก่กว่าวัย แท้จริงแล้วเจ้าไขมันใต้ตาเกิดจากอะไร และรักษาได้อย่างไร ไปหาคำตอบกัน
ไขมันใต้ตาคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร
ไขมันใต้ตา คือ ก้อนไขมันที่อยู่ภายในเบ้าตาของเรา ซึ่งไขมันเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยรองรับลูกตาและป้องกันลูกตาของเราจากการกระทบกระเทือน โดยจะมีอยู่บริเวณเปลือกตาด้านบน 2 ก้อนและเปลือกตาด้านล่าง 3 ก้อน ทั้งนี้เมื่ออายุมากขึ้นหรือร่างกายของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น เป็นภูมิแพ้ นอนหลับน้อย เป็นต้น จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาไม่กระชับ ถุงไขมันเหล่านี้จึงปูดนูนออกมาจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไขมันใต้ตามีกี่แบบ
ในร่างกายของเรามักจะมีไขมันกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนไขมันบริเวณใต้ตานั้นจะเป็นไขมันในเบ้าตาด้านล่างที่เรียกว่า Orbital fat โดยแบ่งออกเป็น 3 แบบหรือ 3 บริเวณด้วยกัน คือ ไขมันบริเวนหัวตา (Nasal fat pad) ไขมันบริเวณกลางตา (Central fat pad) และไขมันบริเวณหางตา (Lateral fat pad)
ไขมันใต้ตามีสาเหตุเกิดจากอะไร
มีปัจจัยหลายอย่างมากที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา ไม่ว่าจะการร้องไห้ นอนดึก หรือสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ซึ่งถุงใต้ตามีอยู่ 2 ลักษณะคือ ถุงใต้ตาแท้และถุงใต้ตาเทียม ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่มีอายุมากเท่านั้น แต่ยังเกิดกับคนที่อายุน้อยด้วย
โดยมี 3 สาเหตุที่ทำให้ไขมันใต้ตาเด่นชัดออกมา ดังนี้
พันธุกรรม
เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ไขมันมารวมกันบริเวณใต้ตาเป็นจำนวนมากจนมีลักษณะเป็นถุงนูนขึ้นมาบริเวณใต้ตา และเกิดอาการบวมหรือคั่งน้ำในบริเวณนั้น
พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา ได้แก่ พักผ่อนน้อย ใช้สายตาเป็นเวลานาน ขยี้ตาแรง ความเครียด รับประทานอาหารรสเค็มหรือหวานจัด ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
อายุที่มากขึ้น
สิ่งที่หลายคนเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือเมื่อมีอายุมากขึ้น โครงสร้างผิวหนังและผนังกั้นเปลือกตาล่างจะอ่อนแอลง ทำให้ไขมันใต้ตาหย่อนคล้อยลงมาจนมีลักษณะเป็นถุงที่หลายคนเรียกว่าถุงใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection)
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวหนังบริเวณใต้ตา โดยสารเติมเต็มที่มักใช้กันจะเป็นสารเติมเต็มในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) เนื่องจากเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ฟิลเลอร์ สามารถสลายเองได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเหลือสารตกค้างไว้ในร่างกาย
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนว่ารอยคล้ำใต้ตาและร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวหนังดูตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งถุงไขมันใต้ตาก็ไม่ปรากฏให้เห็นชัดอีก โดยฟิลเลอร์สามารถอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ และไม่ต้องทำการผ่าตัดด้วย
ถุงไขมันใต้ตารักษาได้อย่างไร
วิธีที่ใช้ในการรักษาถุงไขมันใต้ตา ขึ้นอยู่กับขนาดของถุงใต้ตา ได้แก่
ผ่าตัดถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty)
การผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นศัลยกรรมรูปแบบหนึ่งที่จะนำไขมันส่วนเกินใต้ตาออกหรือจัดเรียงไขมันใหม่ รวมถึงเอาหนังส่วนเกินออกไปด้วย เพื่อทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยกลับมาตึงกระชับ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีถุงไขมันใต้ตาหย่อนคล้อย คนที่มีชั้นไขมันหนา หรือคนที่มีถุงใต้ตาบวมตามพันธุกรรม
วิธีผ่าตัดถุงใต้ตามี 2 วิธี คือ วิธีผ่าตัดถุงใต้ตาแบบแผลนอกและแบบแผลใน ซึ่งมีความแตกต่างกันตรงที่ผ่าตัดถุงใต้ตาแบบแผลนอกจะเหมาะกับคนที่มีผิวหนังส่วนเกินใต้ตาล่างและมีไขมันใต้ตาด้วย ส่วนผ่าตัดถุงใต้ตาแบบแผลใน จะผ่าตัดภายในเปลือกตา ทำให้มองไม่เห็นรอยแผลจากภายนอก อีกทั้งแผลยังมีขนาดเล็กและดูแลง่าย เหมาะกับคนที่ไม่มีผิวหนังส่วนเกินใต้ตา
การเติมไขมัน (Fat Graft)
จะเป็นการเติมไขมันเข้าไปในบริเวณใต้ตา วิธีนี้จะไม่ก่อให้เกิดการแพ้ เนื่องจากไขมันที่เติมเข้าไปเป็นสารธรรมชาติจากร่างกายของเรา โดยไขมันเหล่านี้นำมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นขา สะโพก หน้าท้อง หรือต้นแขน แล้วนำเข้ากระบวนการปั่นแยกเซลล์ไขมันบริสุทธิ์ หลังจากนั้นก็จะฉีดไขมันกลับเข้าไปบริเวณใต้ตาหรือตามส่วนต่างๆ บนใบหน้า เพื่อให้ดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น และเมื่อไขมันส่วนนี้เกิดติดขึ้นมา ก็จะอยู่กับเราไปตลอด อย่างไรก็ดี โอกาสที่ไขมันจะติดนั้นอยู่ที่ 50-70% โดยประมาณ และหลังจากทำไปแล้ว เซลล์ไขมันที่เติมเข้าไปจะยุบหายเกือบทั้งหมด ดังนั้นแพทย์จึงต้องเติมไขมันเข้าไปใต้ตาในปริมาณมาก ทำให้บริเวณใต้ตาของคนไข้ดูบวมกว่าปกติ รวมถึงในระหว่างทำ บางคนอาจมีความรู้สึกเจ็บด้วย
แม้ว่าไขมันใต้ตาจะช่วยรองรับลูกตาและป้องกันการกระทบกระเทือนที่อาจเกิดกับตาของเรา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันส่วนนี้จะห้อยย้อยลงมา ทำให้ใบหน้าดูไม่สดใสและดูแก่กว่าวัย อย่างไรก็ตาม เราสามารถกำจัดไขมันใต้ตาให้หายไปได้ด้วยหลากหลายวิธี ซึ่งก็ต้องให้แพทย์พิจารณาว่าวิธีไหนเหมาะกับตัวเรามากที่สุด