เทรนด์ฟิลเลอร์ใต้ตากำลังมาแรง เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เห็นผลไวไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฉีดกับใครก็ได้ เพราะใต้ตาเป็นจุดที่ต้องพิถีพิถัน ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่เชื่อถือได้เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นค่ะ
หลายคนสงสัยว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม ? เพราะถึงใช้ฟิลเลอร์แท้ แต่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ หรือสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่นการติดเชื้อได้ บทความนี้ มาทำความเข้าใจอันตราย ความเสี่ยง และข้อระวังต่าง ๆ กันค่ะ
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม ความเสี่ยงอะไรที่ต้องระวัง
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม ความเสี่ยงที่ต้องระวังมีอะไรบ้าง หากฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ปัจจัยที่ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วอันตราย มีดังนี้
อันตรายที่เสี่ยงเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรทำกับแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์มากพอ และสามารถกำหนดปริมาณฟิลเลอร์ได้เหมาะสม ไม่เลือกฉีดกับหมอกระเป๋า คลินิกเถื่อน หรือคลินิกที่ไม่มีความสะอาด เพราะปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงตามมาได้ เช่น
- เลือกฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับปัญหาผิว
- ฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว หรือฉีดเข้าหลอดเลือดโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด
- เกิดอาการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้เกิดหนองและเนื้อเยื่อเน่าตาย
- ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่ดี เกาะตัวเป็นก้อน หรือเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ
- ในกรณีที่ฉีดเข้าเส้นเลือดสำคัญ เช่น เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา อาจทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือด ถึงขั้นตาบอดได้
- ฟิลเลอร์ไม่สลายเองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายถึงขั้นตาบอดไหม? ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง
ถึงโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็มีรายงานทางการแพทย์เมื่อปี 2015 ระบุถึงเคสตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์ไว้ทั้งหมด 98 คนทั่วโลก โดยการตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
- กรณีที่ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันเส้นเลือด ชื่อทางการแพทย์เรียกว่า Central Retinal Artery Occlusion (CRAO) เป็นภาวะที่ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันเส้นเลือดแดง ส่งผลให้เนื้อตายและตาบอดในที่สุด
- กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์พลาดเข้าไปในเส้นเลือดดำ ฟิลเลอร์ที่อยู่ในเส้นเลือดดำจะไหลย้อนกลับไปที่เส้นเลือดแดง แต่หากฟิลเลอร์ย้อนกลับไปที่เส้นเลือด Central Retinal Artery หรือเส้น Ophthalmic Artery จะส่งผลให้ดวงตาบอดสนิททันที
- กรณีฉีดฟิลเลอร์ไปโดนจอที่เลี้ยงประสาทตา ในกรณีฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา อาจนำไปสู่ภาวะจอประสาทตาขาดเลือด และตาบอดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจมีอาการข้างเคียง เช่น บวมช้ำ รอยแดง ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตาค่อนข้างบอบบาง ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองในประมาณ 1-2 สัปดาห์
กรณีที่เกิดอาการผิดปกติรุนแรง เช่น บวมมาก เจ็มมาก ปวดตา ปวดหัว เห็นภาพซ้อน หรือมีผื่นคัน แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที
ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน สาเหตุมาจากการใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากจนเกินไป ฟิลเลอร์ของปลอม หรือเลือกฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้ใช้เทคนิคที่ถูกต้องในการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งผู้รับบริการอาจจะได้รับผลข้างเคียงที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิด ยี่ห้อ การเลือกคลินิก ประสบการณ์แพทย์ และการดูแลตัวเอง
วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยง
ปัจจุบันสถานพยาบาลที่เปิดให้บริการฉีดฟิลเลอร์ มีให้เลือกมากมาย แต่ใช่ว่าแพทย์ทุกคนจะฉีดฟิลเลอร์ได้ดี การฉีดฟิลเลอร์เป็นศาสตร์ความงามแขนงหนึ่ง ที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการฉีด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งหลักการเลือก ดังนี้
- เลือกสถานพยาบาลที่สะอาด บริการดี เครื่องมือทันสมัย ครบครัน เปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย มีเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน
- แพทย์ผู้ให้การรักษาต้องเป็นแพทย์เฉพาะทาง สามารถตรวจสอบเลขใบประกอบวิชาชีพแพทย์ได้
- เลือกสถานพยาบาลที่มีที่ตั้งชัดเจน เดินทางสะดวก
- ฟิลเลอร์ให้เลือกหลากหลาย ทุกกล่องมีเลขทะเบียน อย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง รวมถึงเลข Lot ข้างกล่องกับที่หลอดก็ต้องตรงกันด้วย
- ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า ซึ่งผู้ป่วยสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้จากรหัส LOT number บนกล่องและหลอดฟิลเลอร์ โดยนำไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลผู้ผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้จริง
- มีการนัดติดตามผลหลังการฉีดทุกครั้ง
- มีข้อมูลรีวิวจากผู้ใช้จริง
ข้อดีและข้อเสียของฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีและข้อเสียที่ควรทราบก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
ข้อดีของฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไม่อันตรายต่อดวงตา
- ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
- เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถปรับแต่งทรงได้ตามที่ต้องการ
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณใต้ตาให้ดูตื้นขึ้น
- ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูกระชับมากยิ่งขึ้น
- ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาลึก จากการยุบตัวของกระดูกใต้ตา
ข้อเสียของฟิลเลอร์ใต้ตา ที่อาจเป็นอันตราย
- ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร เพราะฟิลเลอร์สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ต้องเติมซ้ำทุก ๆ 6-12 เดือน ซึ่งระยะเวลาในการเติมฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ด้วย
- การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ร่วมกับการทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ ซึ่งผลข้างเคียงอย่างอาการบวมแดง อักเสบ ก็อาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ หลังทำเป็นเรื่องปกติ และมักจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
- หากไม่ได้รับการฉีดจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้
ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร ปริมาณฉีดเท่าไรถึงปลอดภัย ไม่อันตราย
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตา ใบหน้าดูไม่สดใส หน้าดูโทรม หน้าแก่ก่อนวัย หรืออยากปรับให้ดวงตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรก โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น มาดูกันว่าใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนคล้อย และเหี่ยวย่น
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูโทรม
- ผู้ที่มีปัญหาเบ้าตาลึก ตาโบ๋
- ผู้ที่ใต้ตาดำจากกรรมพันธุ์ และโรคภูมิแพ้
- ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา ที่เกิดจากการหย่อนตัวจากกระดูกใต้ตาทรุด
- ผู้ที่มีปัญหาเอ็นรอบดวงตาหย่อนคล้อย กระดูกเบ้าตาใต้ดวงตาลดลง
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะสามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาได้อย่างครอบคลุม แต่ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์อาจจะไม่เหมาะกับทุกคนค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อบริเวณรอบดวงตา
- ผู้ที่มีภาวะเลือดหยุดยาก แผลฟกช้ำง่าย
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน
- โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือผู้ที่กำลังรับประทานยากดภูมิ
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดใต้ตา ไม่ให้เกิดอันตราย
ปริมาณการใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินการรักษาแต่ละเคสด้วยตัวเอง สำหรับปัญหาใต้ตาที่พบได้ทั่วไป เช่น ใต้ตาคล้ำ ร่องตาลึก หรือมีถุงใต้ตาเล็กน้อย
ปกติแล้วแพทย์ส่วนใหญ่จะใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณ 1-2 ซีซีต่อข้าง ถือเป็นปริมาณที่พอเหมาะ โดยไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะหากฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป เวลายิ้มจะทำให้ใต้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติ
ขั้นตอนและการดูแลตัวเองก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อให้ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด และเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้
เตรียมพร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ให้ปลอดภัย ไม่อันตราย
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด เพื่อรับรู้ขั้นตอนการเตรียมตัว และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
- แจ้งปัญหากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แพทย์ประเมินว่าควรทำอะไรบ้าง ฉีดกี่ CC และควรใช้ฟิลเลอร์ตัวใด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการมากที่สุด
- แจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว ประวัติการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการรักษาเอง
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 สัปดาห์ ควรงดการทายาที่มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิว หยุดอาหารเสริม หรือสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมถึงยาแก้ปวดและแอสไพริน
- 24 ชั่วโมงก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ให้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่
- งดการทำเลเซอร์ หรือนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน
ขั้นตอนการฉีดโดยละเอียด
- ฆ่าเชื้อบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ ทั้งบริเวณใกล้ดวงตา และบริเวณช่วงโหนกแก้ม
- ทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยเข็มขนาดเล็ก ตามปริมาณที่กำหนด
- ระหว่างการฉีดจะมีการแปะน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บปวด
- แพทย์จะทำความสะอาดหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอีกครั้ง อาจจะมีการติดพลาสเตอร์ขนาดเล็ก เพื่อห้ามเลือดไว้สักระยะหนึ่ง
- พักฟื้นสักครู่ จากนั้นสามารถกลับบ้านได้ทันที
ดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สิ่งที่ควรทำ/ไม่ควรทำ
- หลีกเลี่ยงการจับ กด หรือ นวด บริเวณใต้ดวงตา เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อน หรือช้ำมากกว่าเดิมได้
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมาก ๆ เช่น ซาวน่า เนื่องจากความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์เซตตัวผิดปกติ
- หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ใต้ตา และเลเซอร์ทุกชนิดในช่วง 1 เดือนแรก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ถ้าต้องการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม ควรทำอย่างระมัดระวัง ห้ามกดแรงหรือนวด บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ และควรประคบด้วยน้ำแข็งห่อผ้าสะอาด ไม่ใช้น้ำเย็นโดยตรง และทำในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 10-15 นาที
- งดรับประทานอาหารสุกดิบ นมวัว และอาหารรสจัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ มีผลกระทบต่อระบบเลือด และทำให้แผลเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ช่วยให้ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานขึ้น
- หากรอบดวงตามีอาการบวมช้ำมาก หรือมีอาการแสบร้อน ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
- ห้ามแต่งหน้า หรือใช้ครีมบำรุงทุกชนิด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ปลอดภัยหรืออันตรายกว่าวิธีอื่น
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา การร้อยไหม และการเติมไขมันใต้ตา เป็นวิธีแก้ปัญหาผิวใต้ตาด้วยการเติมเต็มชั้นผิวใต้ตา ให้กลับมาเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาดำ เบ้าตาลึก ถุงใต้ตา และปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งการทำหัตถการทั้ง 3 อย่าง มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้
VS การร้อยไหม
การฉีดฟิลเลอร์กับร้อยไหม เป็นหัตถการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การฉีดฟิลเลอร์มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างใบหน้า ช่วยเติมเต็มในส่วนที่มีปัญหา ส่วนการร้อยไหม เหมาะสำหรับการยกกระชับผิว เก็บเนื้อที่หย่อนคล้อย
อย่างไรก็ตามการร้อยไหมไม่สามารถทำทดแทนการฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่การทำหัตถการทั้งสองอย่างนี้สามารถทำควบคู่กันได้ เช่นคนไข้ที่มีปัญหาใต้ตาลึกก็แก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ควบคู่ไปกับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า เพื่อให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
VS การเติมไขมันใต้ตา
การฉีดไขมันใต้ตาถือว่ามีความเสี่ยงสูง เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ วิธีการค่อนข้างยุ่งยาก และต้องใช้แพทย์ที่มีความชำนาญสูง เนื่องจากต้องดูดไขมันจากตำแหน่งที่เหมาะสมออกมาก่อน อาการบวมช้ำจึงมีมากกว่า เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น ในกรณีที่แพทย์ขาดประสบการณ์ การฉีดไขมันใต้ตา อาจทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตาเป็นก้อน ตุ่ม นูน ซึ่งยากต่อการแก้ไข ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น
แตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่สามารถฉีดสลายได้ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ และที่สำคัญการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถปั้นให้เรียบเนียนสวยงามได้มากกว่าการฉีดไขมันใต้ตา
เทียบข้อดี/ข้อเสีย วิธีไหนเสี่ยงอันตรายน้อยสุด
ฟิลเลอร์ |
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
ร้อยไหม |
|
|
เติมไขมันใต้ตา |
|
|
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ให้ไม่อันตราย
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีขั้นตอนที่เรียบง่าย และมีความปลอดภัยสูง หากเข้ารับการรักษาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงใช้เทคนิคเฉพาะในการแก้ไขปัญหาใต้ตาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกคนสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้อย่างปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หากเลือกพิจารณาตาม 3 ขั้นตอนดังนี้
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล ตั้งแต่การรีวิว แพทย์ที่ทำการรักษา และการเดินทางไปยังสถานพยาบาลเพื่อทำการรักษา
- เช็กประสบการณ์ของแพทย์ที่ดูแลรักษา แพทย์ที่ทำการรักษาต้องสามารถตรวจเลขที่ใบอนุญาตได้ รวมถึงแพทย์ต้องมีความรู้ในการฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกตำแหน่ง สามารถวิเคราะห์ปัญหาโครงหน้าของคนไข้ได้อย่างตรงจุด
- เลือกฉีดฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีการแกะกล่อง และดึงตัวยาจากผลิตภัณฑ์ให้คนไข้ดูต่อหน้า
สรุป
ใต้ตาเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบาง จำเป็นต้องให้แพทย์ประเมินอย่างละเอียดก่อนเริ่มทำหัตถการ เพื่อเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสม และใช้ในปริมาณที่พอดี
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา หรือการผ่าตัด หากเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. พร้อมกับการพิจารณาอย่างรอบคอบ และเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาดูแล เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดูดีตรงตามความต้องการ
🚩อย่าลืมแอดไลน์ http://bit.ly/3ZYmsMB เพื่อที่จะไม่พลาดโปรโมชั่นสุดพิเศษนะคะ
😄 หรือสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย
✅ Line คลิก > http://bit.ly/3ZYmsMB
✅ Inbox Facebook คลิก > http://bit.ly/3TrFOr0
✅ Instagram คลิก > http://bit.ly/3Z20siT
📍สาขาอารีย์ : อาคารบ้านยสวดี (BTS อารีย์ ทางออกที่ 3)
📞080-393-6669
📍สาขาบางนา : For You Park
📞080-556-5294
📍ทั้ง 2 สาขา มีที่จอดรถ สะดวกสบาย
🕘เปิดให้บริการทุกวัน : 11.00-20.00 น.