ใครเคยสงสัยกันไหมว่า เจ้าเม็ดแข็ง ๆ ที่โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเรา ทั้งที่ก็ไม่ได้มีการอักเสบแดงเหมือนสิวทั่วไป สิ่งนี้คืออะไรกันแน่? นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า สิวเทียม หรือในทางการแพทย์จะเรียกว่า สิวผด นั่นเอง ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำความแตกต่างของสิวเทียม และสิวอุดตันกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และมีวิธีรักษาอย่างไรให้หายได้อย่างรวดเร็ว
สรุปสาระสำคัญ "สิวเทียม"
- สิวเทียม คือเม็ดผื่นคล้ายกับสิวที่ไม่ได้เกิดจากการอุดตัน แต่เกิดจากภาวะผิวอ่อนแอ หรือระคายเคืองบนใบหน้า เช่น การแพ้สารเคมี การใช้สเตียรอยด์ หรือเกิดจากเหงื่อ และความร้อนสะสม
- จุดเด่นที่ทำให้สิวเทียมแตกต่างไปจากสิวอุดตันก็คือ สิวเทียมจะไม่มีหัวสิวให้กดออก มักขึ้นเป็นผื่นเห่อ และอาจมีอาการคัน หรือแสบร่วมด้วย บางประเภทสามารถหายเองได้
- สำหรับวิธีในการรักษาสิวเทียม ควรเลือกให้ตรงกับประเภทของสิวที่เป็น โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
- สามารถป้องกันสิวเทียมได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ อย่างการปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เช่น ล้างหน้าให้ถูกวิธี พักผ่อนให้เพียงพอ หรือจะรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ก็ได้
สิวเทียม คืออะไร
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ปัญหาเม็ดเล็ก ๆ เหมือนผื่นที่โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าคืออะไร? ดูคล้ายสิวแต่ก็ไม่ใช่สิว โดยเจ้าเม็ดเหล่านี้ในวงการแพทย์ถูกเรียกว่า สิวเทียม หรือ สิวผด นั่นเอง ซึ่งสิวเทียมนี้ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของไขมันหรือเชื้อแบคทีเรียเหมือนสิวทั่วไป แต่เป็นปฏิกิริยาของการที่ผิวแพ้ง่าย หรือผิวอ่อนแอ ซึ่งมักมีสาเหตุหลักมาจากการระคายเคือง หรือการแพ้สารบางอย่างที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง
สิวเทียมเกิดจากอะไร อันตรายไหม
สิวเทียมเกิดจากอะไร
หลายคนพอมีตุ่มคล้ายกับสิวขึ้นมา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องของความสะอาด หรือการอุดตันของรูขุมขน แต่จริง ๆ แล้วสิวเทียมมีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างออกไปจากสิว โดยมีสาเหตุหลักมาจากการระคายเคือง หรือเกิดเมื่อผิวของเราอ่อนแอ เช่น
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้
- การใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน โดยเฉพาะสเตียรอยด์แบบทา ทำให้ผิวบาง และอ่อนแอลงได้ง่าย
- การล้างหน้าบ่อนจนเกินไป หรือการขัดผิวหน้าแรง ๆ จนทำให้เกราะป้องกันผิวถูกทำลาย
- สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อากาศร้อน เหงื่อออก ความอับชื้น หรือแม้แต่การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวระคายเคืองจนเกิดสิวเทียมได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม หรือการเสียดสีจากหมวกกันน็อก ก็เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดสิวเทียมได้
สิวเทียม อันตรายไหม?
โดยทั่วไปแล้ว สิวเทียมไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยตรง แต่สิ่งที่อันตรายคือการที่เราจัดการกับสิวเทียมนี้อย่างไม่ถูกต้อง หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นสิวอุดตัน จึงพยายามบีบหรือกดออกเหมือนสิวปกติ ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ผิดมหันต์ เพราะสิวเทียมไม่ได้มีหัวไขมันให้บีบออกได้ การพยายามกดออกจึงอาจทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบาดเจ็บ เกิดการอักเสบ รอยดำ และทิ้งหลุมสิวเอาไว้บนใบหน้าของเราด้วย
และที่สำคัญไปกว่านั้น ถ้าหากเรายังใช้ผลิตภัณฑ์เดิม ๆ ที่มีสารระคายเคืองอยู่เรื่อย ๆ ก็อาจทำให้ผิวเกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง จนนำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่ายในระยะยาวได้ ดังนั้น การดูแลผิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้สิวเทียมกลายเป็นปัญหาในระยะยาว
สิวเทียมต่างจากสิวอุดตันอย่างไร
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าสิวเทียม (สิวผด) และสิวอุดตันจะดูคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วสาเหตุและวิธีในการรักษาต่างกันมาก ลองสังเกตง่าย ๆ ว่าถ้าตุ่มที่ขึ้นมาเป็นเม็ดเล็ก ๆ เท่า ๆ กัน ขึ้นเป็นผื่นเห่อบริเวณหน้าผาก และที่สำคัญคือมีอาการ คันหรือแสบร่วมด้วย แถมยังกดไม่ออก นั่นแหละคือ “สิวเทียม” แต่ถ้าตุ่มที่ขึ้นมาเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ไม่มีอาการคัน แต่สามารถกดให้หัวสิวออกมาได้ แบบนั้นคือ “สิวอุดตัน” ที่เกิดจากการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขน และสามารถพบได้ทั่วใบหน้าโดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ
สิวเทียมมีกี่ประเภท
สิวเทียม มีหลายประเภทที่เราพบได้บ่อย ๆ เช่น
- สิวผด (Acne aestivalis) : มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม มักจะขึ้นบริเวณหน้าผากหรือขมับ ทำให้ผิวสัมผัสดูสากและไม่เรียบเนียน โดยสิวประเภทนี้มักเห่อขึ้นเมื่อเจออากาศร้อน หรือหลังจากการออกกำลังกาย เนื่องจากความร้อนและเหงื่อที่สะสมบนผิว
- สิวข้าวสาร (Milia) : มีลักษณะเป็นเม็ดกลมแข็ง สีขาว หรือสีเดียวกับผิว มักพบได้บ่อยบริเวณรอบดวงตาหรือโหนกแก้ม สิวชนิดนี้บีบไม่ออก และต้องอาศัยการรักษาโดยแพทย์เท่านั้น
- สิวหิน (Syringoma) : มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ สีขาวขุ่นหรือสีเหลืองอ่อน ผิวสัมผัสคล้ายสิวข้าวสาร เป็นเนื้องอกขนาดเล็กที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมเหงื่อ ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของไขมัน และไม่มีอาการคัน
- สิวเสี้ยน (Trichostasis spinulosa) : เป็นจุดสีดำเล็ก ๆ บริเวณจมูกหรือคาง เกิดจากการที่เส้นขนหลายเส้นอุดตันอยู่ในรูขุมขนเดียวกัน พร้อมกับไขมันและเซลล์ผิวเก่า ทำให้ดูคล้ายกับสิวหัวดำ
- สิวจากอาการแพ้ (Allergic contact dermatitis) : เกิดจากปฏิกิริยาของผิวที่แพ้ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง ทำให้เกิดตุ่มแดงเล็ก ๆ หรือผื่นกระจายไปทั่วใบหน้า ทำให้ผิวอ่อนแอ และระคายเคืองง่ายในช่วงที่มีอาการ
สิวจากสเตียรอยด์ (Steroid acne) : เกิดจากการใช้ครีม หรือยาทาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นเวลานาน จนทำให้รูขุมขนอักเสบ และเกิดสิวขึ้นได้หลายรูปแบบ หากไม่หยุดใช้ สิวชนิดนี้จะรักษายาก และลุกลามได้ง่าย
รักษาสิวเทียมได้อย่างไร
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า สิวเทียมไม่ใช่สิวอุดตันธรรมดา การรักษาจึงต้องแตกต่างออกไปตามชนิดของสิวเทียมที่เป็น เพราะการรักษาแบบเหมารวมอาจทำให้ปัญหาแย่ลงได้ ดังนั้น เราจึงขอแนะนำแนวทางการรักษาตามหลักการแพทย์ที่เห็นผลได้จริง ดังนี้
1. การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
ขั้นแรกที่สำคัญ คือ การทำความสะอาดผิวให้ถูกวิธี หากแต่งหน้า หรือทาครีมกันแดดควรใช้คลีนซิ่งแบบออยล์ หรือบาล์มเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางก่อน จากนั้น จึงทำความสะอาดใบหน้าด้วยโฟมล้างหน้าแบบอ่อนโยน การทำแบบนี้จะช่วยลดการอุดตัน และสิ่งสกปรกที่เป็นสาเหตุของสิวผด สิวข้าวสาร และสิวเสี้ยนได้ดี
2. การใช้ยาเฉพาะทาง
การรักษาสิวเทียม ควรใช้ยาให้ตรงกับสาเหตุที่แท้จริง เช่น สิวผด ที่เกิดจากเชื้อราควรใช้ยาทาคีโตโคนาโซล ส่วนสิวข้าวสาร หรือสิวหิน อาจต้องใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งควรเลือกใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวระคายเคือง
3.การผลัดเซลล์ผิว
วิธีรักษาด้วยการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารอย่าง AHA หรือ BHA จะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพหลุดออกง่ายขึ้น ลดการอุดตัน และทำให้สิวเทียมที่เป็นตุ่มแข็งหลุดออกได้ไวขึ้น แต่ต้องไม่ทำบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้นกว่าเดิม
4. การจัดการด้วยวิธีทางการแพทย์
สำหรับสิวเทียมบางชนิด เช่น สิวหิน หรือสิวข้าวสารที่ฝังลึก การกดหรือบีบออกเอง จะยิ่งทำให้ผิวบาดเจ็บ และอักเสบมากขึ้น ควรให้แพทย์ดูแลโดยใช้เครื่องมือเฉพาะอย่างโปรแกรมเลเซอร์ เพื่อเปิดหัวสิวและสลายเม็ดสิวให้หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
5. การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
วิธีนี้เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันสิวเทียมในระยะยาว ควรเริ่มจากการลองปรับพฤติกรรมง่าย ๆ เช่น หลีกเลี่ยงการจับหน้าบ่อย ๆ ไม่ใช้แปรงแต่งหน้าที่สกปรก เปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สิวเทียมไม่กลับมาเป็นซ้ำได้แล้ว
เลเซอร์หลุมสิวด้วย Picosure Pro Laser ที่ Amarante clinic
สำหรับใครที่กำลังกังวลกับปัญหารอยหลุมสิว ที่ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียนและขาดความมั่นใจ Amarante Clinic พร้อมเป็นผู้ช่วยในการฟื้นฟูผิวของคุณให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยโปรแกรม Picosure Pro Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นรอยแผลเป็นจากสิว หรือรอยหลุมสิวที่ฝังลึก
โปรแกรม PicoSure Pro Laser คือเทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีความโดดเด่นหลายด้าน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาปัญหาเม็ดสีผิดปกติ เช่น ฝ้า กระ และรอยสิว รวมถึงช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวมีความเรียบเนียน ดูสม่ำเสมอ และกระจ่างใจมากขึ้น โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบน และมีผลข้างเคียงน้อยมาก ๆ
ข้อดีของโปรแกรม PicoSure Pro Laser ในการรักษาหลุมสิว ที่ Amarante Clinic
- ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน ช่วยให้ผิวฟื้นตัว หลุมสิวดูจางลง เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าเดิม
- ช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ใต้ผิว ปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน และกระชับมากขึ้น
- ช่วยกระชับรูขุมขนให้ผิวดูมีสุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์
สิวเทียมหายเองได้หรือไม่
สิวเทียมบางประเภทสามารถหายเองได้ แต่ก็ไม่ได้หายได้เองทั้งหมด เช่น สิวผดที่เกิดจากความร้อนหรือเหงื่อ มักจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองภายใน 1 – 2 วัน เมื่อผิวได้พักและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นขึ้น เป็นต้น
แต่สำหรับสิวประเภทอื่น เช่น สิวข้าวสารหรือสิวหิน ที่เป็นตุ่มแข็งฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ถึงแม้จะไม่มีอาการอักเสบ แต่ก็ไม่สามารถหายไปได้เองในเวลาอันสั้น เพราะเกิดจากโครงสร้างผิวที่ผิดปกติไม่ใช่แค่การอุดตันชั่วคราว ในกรณีนี้จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น
รักษาใบหน้าอย่างไรไม่ให้เป็นสิว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
- จัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อไม่กระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
- ล้างหน้าอย่างถูกวิธี เพียงวันละ 2 ครั้งเช้า – เย็น
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ นอนหลับให้ได้ 7 – 8 ชม. ต่อวัน
- ปกป้องผิวจากแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว
- รักษาสิวก่อนทำการบำรุงผิว
- หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับมัน เพราะการใช้บ่อย ๆ จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดของมัน ของทอด และนมวัว เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดสิว
- ไม่สัมผัสกับใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะมือของเรา และโทรศัพท์มือถือ เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดสิวได้
- ไม่บีบ แคะ แกะสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น และทิ้งรอยแผลเป็นรวมถึงหลุมสิวเอาไว้
โปรแกรม Picosure Pro Laser ที่ Amarante Clinic
ที่ Amarante Clinic เรามีความมุ่งมั่นที่จะมอบผลลัพธ์การรักษาที่ดี เพื่อผิวที่สวยกระจ่างใสให้กับคุณ ด้วยโปรแกรม Picosure Pro Laser เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิว ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ทำให้ผิวเกิดการสร้างใหม่ และเติมเต็มรอยหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำร้ายผิวรอบข้าง ทำให้ผิวหน้าของคุณดูเรียบเนียน และสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทีมแพทย์ของเราจะทำการวิเคราะห์ ประเมินปัญหาและสภาพใบหน้า เพื่อออกแบบการรักษาสำหรับแต่ละบุคคล ทั้งหมดนี้ เพื่อมอบผลลัพธ์ใบหน้าที่สวย กระจ่างใส และเรียบเนียนให้กับคุณ หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลหรือดูรีวิวเพิ่มเติมได้ภายในเว็บไซต์ หรือปรึกษาปัญหาเบื้องต้นได้ตามช่องทางด้านล่างนี้