หากใครกำลังคิดว่าออกแดดแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องทาครีมกันแดดก็ได้ ขอบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง แม้เราจะออกไปข้างนอกแค่ไม่กี่นาที แต่ถ้าต้องเจอแดดทุกวัน ก็อาจเจอปัญหา “ฝ้า” ตามมากวนใจได้ ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินว่าเลเซอร์ช่วยแก้ฝ้าได้ แต่จริงๆ แล้ว เลเซอร์ช่วย แก้ฝ้า ได้จริงไหม ไปหาคำตอบกัน
ฝ้าคืออะไร?
เราลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับฝ้ากันก่อน ฝ้านั้นคือภาวะที่เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) เซลล์สร้างเม็ดสีในผิวหนังของเราทำงานมากขึ้น จึงทำให้เม็ดสีหรือเมลานิน (Melanin) ถูกผลิตมากขึ้นด้วย เพื่อที่จะมาทำหน้าที่ช่วยปกป้องผิวหนังและดูดซับรังสียูวี (UV) ไม่ให้ทำร้ายผิว บริเวณที่พบฝ้ามักจะเป็นส่วนผิวหนังที่สัมผัสแดด เช่น หน้าผาก แก้ม จมูก กราม เป็นต้น
ฝ้าเกิดจากอะไร?
สาเหตุของฝ้าส่วนใหญ่มักเกิดจากแสงแดดเป็นหลัก เพราะมีแสงอัลตราไวโอเลต ทั้ง UVA และ UVB ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้าหรือเป็นฝ้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม เครื่องสำอาง ยาบางประเภทอย่างยากันชักและยาคุมกำเนิด และการได้รับฮอร์โมนเพศหญิง
พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้ามีอะไรบ้าง?
1.ออกไปเจอแสงแดดบ่อยๆ เนื่องจากแสงแดดไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังผลิตเม็ดสีหรือเมลานิน (Melanin) มากขึ้น เพื่อมาปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จึงทำให้ผิวหนังบริเวณที่โดนแสงแดด ได้แก่ ใบหน้า ลำคอ และแขน มักมีรอยฝ้าปรากฏให้เห็นมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น
2.อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์จะมีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจไปกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
3.รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด เนื่องจากในยาคุมกำเนิดจะมีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศที่จะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น หากต้องการรับประทานจริงๆ ควรเลือกยาคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนที่ต่ำจะดีกว่า และควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อน
4.มีความเครียดสะสม หากเรามีความเครียดเป็นเวลานาน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้อาจไปกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
5.ใช้เครื่องสำอางไม่ได้คุณภาพ เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางยี่ห้ออาจใส่สารปรอทหรือสารเคมีที่ทำร้ายผิว ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและผิวหนัง เพราะสารเหล่านี้จะส่งผลให้เม็ดสีทำงานผิดปกติจนเกิดเป็นฝ้าได้
เลเซอร์ช่วย แก้ฝ้า ได้จริงไหม?
การยิงเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีรักษาฝ้าที่สามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ เลเซอร์ที่สามารถรักษาฝ้าได้มีหลายประเภท แต่เลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากคือโปรแกรม Picosure laser โดยจะส่งพลังงานเลเซอร์ที่มีความเร็วสูงสุดระดับ 1 ต่อล้านล้านวินาทีไปยังชั้นผิวหนังที่เกิดฝ้า ทำให้เม็ดสีบริเวณนั้นแตกกระจายตัวออก แล้วร่างกายก็จะกำจัดเม็ดสีที่แตกตัวออกตามกระบวนการธรรมชาติ ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องพักฟื้น
ข้อดีของการแก้ฝ้าด้วยโปรแกรม Picosure laser
- มีความยาวคลื่นถึง 3 ช่วง ได้แก่ 532 nm 755 nm และ 1064 nm ตอบโจทย์กับปัญหาผิวที่หลากหลาย
- ความยาวคลื่น 755 nm เหมาะกับการรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำให้จางลงที่สุด
- มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเลเซอร์ตัวอื่น
- ใช้เวลาในการรักษาสั้นกว่า
- ในระหว่างทำ จะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าวิธีอื่น
- สามารถรักษาฝ้าได้ทุกประเภท เช่น ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม
- รักษาได้ทุกสภาพผิว ไม่เว้นแม้แต่ผิวแพ้ง่าย
- ได้การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ลดริ้วรอย และรักษาหลุมสิวให้ดีขึ้น
แก้ฝ้า ด้วยโปรแกรม Picosure laser ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
ในการรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Picosure laser จะแนะนำให้ทำประมาณ 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการรักษา 2-4 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคน ส่วนใหญ่แล้ว ผู้เข้ารับบริการจะสังเกตเห็นได้ว่าฝ้าจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
แม้ว่าเลเซอร์จะทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่ฝ้าก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้เช่นกัน หากเรายังคงทำพฤติกรรมเสี่ยงที่ไปกระตุ้นให้เกิดฝ้า
สรุป
การที่จะแก้ฝ้า ได้ต้องใช้เวลาในการรักษา โดยทั่วไปอยู่ที่ 3-5 ครั้ง หรือบางคนก็อาจจะทำมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน ซึ่งเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการรักษาฝ้า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีอื่น อย่างไรก็ตาม ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากเราไม่ดูแลตัวเอง เช่น การออกแดดบ่อยๆ หรือฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง