หากลองค้นหาคำว่าวิธีรักษาฝ้า จะพบว่ามีหลากหลายวิธีในการช่วยรักษาฝ้า ไม่ว่าจะทาครีมหรือทำทรีตเมนต์ แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากก็คือ ฉีดฝ้า และ เลเซอร์ฝ้า นั่นเอง ทั้งสองวิธีนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้ววิธีไหนจะรักษาฝ้าได้ดีกว่ากัน เราจะพาไปหาคำตอบ
ฉีดฝ้า และ เลเซอร์ฝ้า คืออะไร
ฉีดฝ้า
ฉีดฝ้าคือการฉีดเมโสฝ้านั่นเอง เป็นวิธีที่จะฉีดวิตามิน กรดอะมิโน และแร่ธาตุต่างๆ เข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยตรง เพื่อให้สารเหล่านี้ไปออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นและเพื่อให้เอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีลดการทำงานลง ทำให้การสร้างเม็ดสีลดลง ทำให้รอยฝ้าจางลง
เลเซอร์ฝ้า
เลเซอร์ฝ้าคือการใช้พลังงานเลเซอร์มาช่วยรักษาฝ้า ไม่มีตัวยาอะไร โดยเลเซอร์จะถูกยิงลงไปยังเม็ดสี เมื่อเม็ดสีดูดซับพลังงานเข้าไป ก็จะเกิดความร้อนและแตกตัวออกในเวลาต่อมา แล้วร่างกายก็จะกำจัดเม็ดสีออกไปตามธรรมชาติ ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอกันและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งเลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้ามีหลายแบบหลายยี่ห้อ แต่เลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากก็คือ Pico laser ของเครื่อง Picosure laser
ฉีดฝ้าและเลเซอร์ฝ้าช่วยรักษาฝ้าได้อย่างไร
การฉีดฝ้าจะเป็นการผลักตัวยาให้เข้าไปสู่ชั้นผิว เพื่อไปควบคุมการทำงานของเม็ดสี (Melanin) ทำให้การผลิตเม็ดสีลดลง สามารถลดเลือนรอยฝ้าให้จางลงได้ 20-50% และต้องกลับมาฉีดซ้ำทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ฝ้าจางลง หลังฉีดไปแล้ว จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 1-2 สัปดาห์ การฉีดฝ้าจะอยู่ได้แค่ 1-2 เดือน และไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายไปได้
ส่วนเลเซอร์ฝ้า จะส่งพลังงานแสงเลเซอร์ไปทำลายเซลล์เม็ดสีบริเวณที่เป็นฝ้าให้แตกกระจายตัวออก โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับเซลล์อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง แล้วจากนั้นเม็ดสีเหล่านี้ก็จะถูกกำจัดไปตามกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย ทำให้รอยฝ้าจางลง สีผิวกลับมาสม่ำเสมอกัน ซึ่งสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก และหากรักษาอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 3-5 ครั้ง ฝ้าก็จะจางลง และยังช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูกระจ่างใสมากขึ้นด้วย
ผลข้างเคียงที่อาจเกิด
ผู้ที่ฉีดฝ้าด้วยการทำเมโสบำบัดอาจพบอาการข้างเคียง ได้แก่
- อาการบวม
- รอยฟกช้ำ
- อาการคัน
- อาการแสบร้อน เนื่องจากตัวยา
- เกิดผื่นแดง
- ก้อนใต้ผิวหนัง
- รอยดำ
- การติดเชื้อบริเวณแผล
ส่วนใครที่รักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์ อาจพบอาการข้างเคียงจากพลังงานเลเซอร์ ได้แก่
- อาการบวมแดง
- ผิวตกสะเก็ด
- ผิวลอก
- สีผิวเข้มขึ้นบริเวณที่ทำเลเซอร์
อาการที่เกิดขึ้นจากการทำเลเซอร์ฝ้าจะสามารถจางหายไปเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะการฉีดเมโสฝ้าหรือการทำเลเซอร์ฝ้า หากพบว่ามีอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อดีและข้อเสียระหว่างการฉีดฝ้าและเลเซอร์ฝ้า
การฉีดฝ้า
ข้อดี คือ ทำให้รอยฝ้าจางลง ช่วยปกป้องผิวพร้อมกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ เพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของเม็ดสี
ข้อเสีย คือ ไม่สามารถรักษาฝ้าให้จางลงแบบเห็นผลชัดเจนเท่าเลเซอร์ และต้องกลับมาฉีดซ้ำอีกหลายครั้งกว่าจะเห็นผล ซึ่งอยู่ได้แค่ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย
การทำเลเซอร์ฝ้า
ข้อดี คือ ฝ้าจะหายได้ไวกว่า รักษาฝ้าให้จางลงได้อย่างชัดเจน สามารถรักษาฝ้าได้หลากหลายประเภท เช่น ฝ้าตื้น ฝ้าลึก เป็นต้น โดยทำประมาณ 3-5 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ ทั้งนี้จำนวนครั้งในการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอกัน ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนอีกด้วย
ข้อเสีย คือ หลังทำในช่วงแรก อาจเกิดอาการบวมแดงและผิวตกสะเก็ดได้ เนื่องจากใช้พลังงานเลเซอร์ที่ค่อนข้างสูง แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองในไม่กี่วัน
บางรายอาจพบรอยแผลเป็น ซึ่งเกิดจากการใช้ค่าพลังงานที่สูงเกินไป หากแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นการทำเลเซอร์โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ก็จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้ เราแนะนำให้ทำกับทีมแพทย์ของ Amarante Clinic ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 18 ปี และยังมียอดผู้ใช้บริการ Pico Laser สูงสุดในประเทศ 4 ปี ซึ่ง Picosure Laser เป็นเลเซอร์ที่เหมาะกับการรักษาฝ้าที่นิยมสูงในปัจจุบัน
ข้อมูล: ncbi.nlm.nih.gov